วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วัดลามะ หรือ ยงเหอกง


วัดลามะ หรือ ยงเหอกง 

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

มุมหนึ่งภายในวัดลามะ
        กรุงปักกิ่ง หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า เป่ยจิ่ง ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม อากาศเริ่มร้อน แดดค่อนข้างแรงตั้งแต่ยามสายเรื่อยมา แต่สภาพอากาศเช่นนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางมาสักการะ หรือ มาท่องเที่ยวที่วัดลามะ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่งแต่อย่างใด
    
       วัดลามะ หรือ ยงเหอกง เป็นโบราณสถานที่รวมเอกลักษณ์ของชนชาติฮั่น แมนจู มองโกล และทิเบต สี่ชนชาติสำคัญของจีนไว้ได้อย่างลงตัวและครบครัน ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในประเทศจีน วัดลามะ เป็นวัดหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบต มีเนื้อที่กว่า 60,000 ตารางกิโลเมตร มีตำหนักต่างๆกว่า 1,000 ห้อง วัดลามะนี้แต่เดิมเป็นพระตำหนักของเฉียนหรงฮ่องเต้ กษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ชิงสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1723 ทรงสร้างให้กับองค์ชาย4 หย่งเจิ้ง หรือ องค์ชาย4 จากนวนิยายเรื่องศึกสายเลือดนั่นเอง
    
       เมื่อองค์ชาย 4 ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 3 จึงย้ายไปประทับที่พระราชวังหลวง ส่วนพระตำหนักนี้พื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิริยาบถนอกวังขององค์ชาย4 อีกครึ่งหนึ่งถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู จึงได้กลายเป็นวัดลามะของทิเบตนิยากหมวกเหลืองตั้งแต่นั้นมา

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

ทางเดินเข้าสู่วัดลามะ
        นิกายหมวกเหลือง เป็นนิกายย่อยนิกายหนึ่งของพุทธศาสนานิกายทิเบต ผู้ก่อตั้งคือ หลัวปู้จ้าง จงเค่อปา ที่เริ่มบวชตั้งแต่ 8 ขวบ พออายุได้ 17 ปีก็เดินทางไปทิเบตเพื่อศึกษาคัมภีร์นิกายลามะ เนื่องจากพระภิกษุของนิกายนี้สวมจีวรสีเหลืองจึงได้ชื่อว่า นิกายเหลือง พระลามะองค์นี้มีคุณูปการสำคัญต่อการปฏิรูปนิกายลามะ ทั้งพระทะไลลามะ และพระปันเชนลามะล้วนเป็นลูกศิษย์ของท่าน
    
       ในวัดลามะมีโบราณวัตถุและสิ่งปลูกสร้างโบราณมากมาย ในจำนวนนี้มีสิ่งของล้ำค่าสำคัญอยู่ 3 ชิ้นที่จะกล่าวถึง ขณะพาเข้าไปเที่ยวชมในวัดลามะ...
    
       วัดลามะในปัจจุบัน นอกจากมีสถานะเป็นวัดสำคัญของปักกิ่งแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมอีกด้วย ไม่ว่าชาวจีนหรือชาวต่าวชาติเมื่อมาเยือนปักกิ่ง ไม่ควรพลาดที่จะมาเยื่ยมชมยงเหอกงสักครั้ง
    
       จากประตูทางเข้าจะต้องผ่านทางเดินยาวประมาณ 100 เมตร สองข้างทางปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างขนานไปกับทางเดินอวดกิ่งก้านใบเขียวขจี เมื่อผ่านทางเดินเข้าไปจะเห็นซุ้มประตูใหญ่ ด้านข้างเป็นร้านขายของที่ระลึก และแผ่นป้ายขนาดย่อมบอกเล่าประวัติความเป็นมาของวัดลามะ เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามา บริเวณด้านหน้าเป็นลานโล่ง มีกระถางธูปขนาดใหญ่ 2 กระถามวางอยู่สำหรับให้ผู้คนที่ต้องการมากราบไหว้บูชาจะได้ปักธูปก่อนเข้าวิหาร ด้านข้างของซุ้มประตูทางขวามือเป็น

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

ซุ้มประตูเข้าสู่ยงเหอกง
        หอนาฬิกา ส่วนด้านซ้ายเป็นหอระฆัง จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติชอบมาตีระฆัง เสียงระฆีงดังกังวานไม่ขาดสาย ชาวจีนเชื่อกันว่า ตีระฆังเพื่อก่อให้เกิดความหวัง ความปรารถนาของตนจะประสบผลสำเร็จ โดยทั้วไปจะตีกันคนละ3 ครั้ง
    
       ผ่านกระถางธูปเข้าไปในวิหารแรกของวัดลามะ คือ วิหารจตุโลกบาล ข้างในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระอะมีถัวโฝง หรือ พระอมิตาพุทธ หากใครที่ชื่นชอบนิยายจีนกำลังภายใจ คงจะจดจำคำพูดที่หลวงจีนชอบพูดกันจนติดปากว่า อมิตาพุทธ ในความเชื่อของชาวจีน ก่อนตายหากท่องคำว่า อมิตาพุทธ อย่างสม่ำเสมอก็จะได้ไปสวรรค์
    
       ด้านหลังวิหารจตุโลกบาลจะเป็นที่ประดิษฐานของ พระเหว่ยโถว หรือ พระที่ทำหน้าที่คุ้มครองวัด พระเหว่ยโถว ปางยืน ลักษณะคล้ายทหารองค์รักษ์มากกว่านักบวช ในแต่ละวัดของจีนจะมีอยู่เพียงองค์เดียว และจะยืนหันหน้าไปทางทิศเหนือเท่านั้น

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

หน้าวิหารจตุโลกบาล
        เมื่อผ่านวิหารจตุโลกบาลออกมาจะเป็นที่ตั้งของ ศิลาจารึกขนาดใหญ่ 4 ด้าน 4 ภาษา แต่ละด้านแกะสลักตัวอักษรภาษาจีน ภาษาแมนจู ภาษามองโกล และภาษาทิเบต เนื้อหาของตัวอักษรเหล่านี้มาจากหนังสือ หล่ามาซัว หรือ ทฤษฏีลามะ ซึ่งฮ่องเต้สมัยราชวงศ์ชิงทรงนิพนธ์ขึ้น กล่าวถึงความเป็นมาของพุทธศาสนานิกายทิเบต และนโยบายของรัฐบาลชิงที่มีต่อนิกายลามะ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของชนชาติต่างๆในจีน
       
       ด้านข้างของศิลาจารึก มีจ้วงจิงถ่งตั้งอยู่ ลักษณะคล้ายถังทองเหลืองทรงกลม ชาวจีนและชาวชนชาติส่วนน้อยในจีนที่นับถือพุทธศาสนานิกายทิเบตจะนิยมเข้าไปหมุนจ้วงจิงถ่ง พวกเขาเชื่อว่า หมุนจ้วงจิงถ่ง 1 รอบเท่ากับได้สวดมนต์ 1 จบ หมุนไปเรื่อยๆ ตั้งจิตอธิษฐานให้ดีๆก็จะสำริดผลได้

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

อีกหนึ่งมุมภายในวัดลามะ
        ถัดมาเป็นที่ตั้งของวิหารที่สอง ชื่อว่า ยงเหอ ด้านหน้าของวิหารยงเหอ เป็นที่ตั้งของเขาพระสุเมรุ ที่แบ่งเป็นชั้นๆหลายชั้นมีทั้งนรกและสวรรค์ วิหารยงเหอ หน้าวิหารมีป้ายชื่อ 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาจีนกลาง ภาษาแมนจู ภาษามองโกลและภาษาทิเบต ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปจำลองของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อีกหลายองค์ โดยพระพุทธเจ้าอยู่ตรงกลางมีพระอรหันต์ขนาบข้างและอีกหลายรูปอยู่ทางด้านข้างทั้งซ้ายขวา วิหารต่อมา ชื่อว่า หยังโย่ง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป
    
       อู่เลี่ยงโซ่วฝัว เชื่อกันว่า เมื่อได้มากราบไหว้สักการะแล้วจะทำให้มีอายุยืนยาว นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูป เย่าซือฝัว ที่เชื่อว่าเมื่อได้กราบไหว้บูชาจะช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ วิหารนี้จึงมีชาวจีนนิยมเข้ามากราบไหว้สักการะเป็นจำนวนมากทีเดียว เมื่อเดินออกจากวิหารหยังโย่ง จะเป็นวิหารฝ่าหลุน หรือ วิหารธรรมจักร วิหารนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระจงเค่อปา ผู้สถาปนาพุทธศาสนานิกายทิเบต
    
       ส่วนด้านหลังเป็นที่ตั้งของสิ่งล้ำค่าอย่างแรกของวัดลามะ คือ ภูเขาพระอรหันต์ 500 รูป สูงเกือบ 4 เมตร ยาวกว่า 3 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทร์หอม หากมองดูไม้แกะสลักชิ้นนี้แต่ไกลจะมองเห็นเป็นภาพภูเขาเขียวนิ่งสงบ ต้นสนเขียวขจี พระเจดีย์แกะสลักอย่างประณีต มีศาลาโบราณ ถ้ำลึกลับ ทางเดินคดเคี้ยว สะพานและสายน้ำเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ตามไหล่เขามีพระอรหันต์ 500 รูปกระจายกันอยู่
    
       แม้จะเป็นรูปแกะสลักแต่พระอรหันต์ทุกรูปมีหน้าตา รูปร่าง และมีชีวิตชีวามากทีเดียว แต่น่าเสียดายว่าหลังผ่านภัยสงครามมาหลายครั้ง พระอรหันต์บนเขาที่มี 500 รูป ปัจจุบันเหลืออยู่ 449 รูปเท่านั้น

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

พระอะมีถัวโฝง ในวิหารจตุโลกบาล
        วิหารสุดท้ายคือ ว่านฝูเก๋อ เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดของยงเหอกง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งถือเป็นสิ่งล้ำค่าชิ้นที่ 2 ของวัดลามะ วิหารนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วิหารพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพุทธรูปสูงกว่า 30 เมตร มีหลังคา 3 ชั้น ก่อด้วยไม้ทั้งหมด
    
       พระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรย ปางยืน แกะสลักด้วยไม้จันทร์หอมสีขาว สูง 26 เมตร ส่วนล่าง 8 เมตร ฝังอยู่ใต้ดิน อีก 18 เมตร อยู่เหนือพื้นดิน พระพุทธรูปองค์นี้มีน้ำหนักประมาณ 100 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากต้นไม้ต้นเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อปีค.ศ. 1979 มีการบูรณะซ่อมแซม พบว่า ไม้จันทร์หอมที่ฝังอยู่ใต้ดินยังแข็งแกร่งไม่สึกหรอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 200 ปีแล้วก็ตาม

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

พระเหว่ยโถว หันหน้าไปทางทิศเหนือ
        วิหารหลักของวัดลามะมีอยู่ทั้งหมด 5 วิหาร ส่วนด้านข้างทั้งซ้ายขวายังมีวิหารเล็กๆรายรอบกำแพงวัด บางวิหารใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ เป็นที่พำนักของพระลามะ หรือปรับปรุงเป็นนร้านขายของที่ระลึกภายในวัด ส่วนของล่ำค่าชิ้นสุดท้ายอยู่ที่วิหารเจ้าฝูโหลว ซึ่งอยู่บริเวณด้านข้างของวัดลามะนั้นเอง
    
       แท่นพระพุทธรูปในวิหารเจ้าฝูโหลว ข้างในมีพระพุทธรูปศากยมุนีที่หล่อด้วยทองเหลือง ด้านหลังของพระพุทธรูปมีประภามณฑลเป็นฉากบังตา แท่นบูชาพระพุทธรูป และประภามณฑลล้วนแกะสลักจากไม้ชื่อว่า จินเซอหนานมู่ ซึ่งเป็นงานแกะสลักที่ประณีตมากอีกชิ้นหนึ่ง แท่นพระพุทธรูปมีส่วนบนสูงจรดเพดาน แบ่งเป็นชั้นนอกชั้นใน 3 ชั้น ส่วนบนมีเสาไม้แกะสลักมังกรทองคำ 2 เสาค้ำรับไว้ คานเพดานหุ้มด้วยทองคำ แกะสลักมังกร 99 ตัว มังกรบางตัวกางเล็บออกมา บางตัวทำท่าทะยานสู่ฟ้า
    
       เมื่อเดินย้อนกลับมาที่ทางออกมาจนถึงวิหารจตุโลกบาล จะสังเกตว่าตรงหน้าทางเข้าวัดที่ซุ้มประตู จะมีสิงโตคู่ตั้งอยู่ทางซ้ายขวาทั้งสองด้าน และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า ด้านหนึ่งเป็นสิงโตตัวเมีย อีกด้านเป็นตัวผู้ สิงโตตัวเมียจะมีลูกสิงโตตัวเล็กกำลังหยอกเย้าอยู่ที่เท้าของแม่สิงโต ส่วนสิงโตตัวผู้ทำท่าเหยียบลูกหิน
    
       น่าเสียดายว่า ในบางพื้นที่ภายในยงเหอกงห้ามนักท่องเที่ยวถ่ายรูปอย่างวิหารยงเหอที่ ประดิษฐานของพระพุทธรูปจำลองของพระพุทธเจ้า หรือวิหารว่านฝูเก๋อ วิหารใหญ่ที่สุดที่พระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยปางยืนประดิษฐานอยู่ไม่สามารถเก็บภาพมาให้ชมได้ ใครที่สนใจคงต้องมาดูด้วยตาตนเอง

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

ตีระฆัง 3 ครั้งพร้อมกับขอพรในใจ
        “วัดลามะเป็นวัดสำคัญของปักกิ่งและของจีน ชาวพุทธในจีนจะต้องมาเยือนที่นี่สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อมาสักการะสิ่งศักสิทธิ์ในวิหารต่างๆภายในยงเหอกง” เจ้าชวน หนุ่มชาวปักกิ่ง อาชีพนักวิจัยตลาด บอกกับผู้เขียนขณะเข้ามาไหว้พระในวัดลามะกับเพื่อนหญิงของเขา
    
       บริเวณด้านนอกของวัดลามะจะคราคร่ำไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมาย มีทั้งรายอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านทำผม ฯลฯ แต่ร้านค้าที่มีมากที่สุดเห็นจะเป็นร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ผู้เขียนได้แวะเวียนเข้าไปพูดคุยกับร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ร้านหนึ่งใกล้ๆประตูทางเข้าวัดลามะ เจ้าของร้านเป็นหญิงชาวจีน ท่าทางใจดี ชื่อ หวังผู่หวา บอกกับผู้เขียนว่า

วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

ศิลาจารึก 4 ภาษา
        ร้านของเธอชื่อ ฝูหยวน แปลว่า มีความผูกพันกับวัด หวังฝูหวากับครอบครัวมาเปิดกิจการค้าขายอยู่หน้ายงเหอกงนานหลายปีแล้ว และกิจการก็ดีมาโดยตลอด ชาวจีนนิยมมาไหว้พระในวันที่1 หรือที่เรียกว่า วันชิวอิก และวันขึ้น 15 ค่ำของทุกเดือน ถึงเวลานั้นธูปเทียนที่มีอยู่จะขายหมด บางครั้งมีไม่พอขายด้วยซ้ำไป ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น หวังผู่หวาบอกว่า มีทุกชาติทุกภาษาที่มาเที่ยวที่นี่ และของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบซื้อคือ กำไลข้อมือ และกระดิ่ง
    
       “ฉันเองก็เป็นพุทธศาสนิกชน รู้สึกว่าเป็นบุญที่เราได้มาทำมาค้าขายใกล้วัด และกิจการของเราก็เจริญรุ่งเรืองดี” หวังผู่หวาว่ายิ้มๆ 
วัดลามะ ‘ยงเหอกง’ศูนย์รวมวัฒนธรรม 4 ชนชาติในปักกิ่ง

ลานหน้าวิหารจตุโลกบาล
        ขณะที่เจ้าชวนกล่าวทิ้งท้ายว่า ในยงเหอกงนอกจากจะมีสิ่งล้ำค่าที่มีความวิจิตรสวยงามมากมายแล้ว ที่สำคัญวัดลามะยังแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวของจีน เป็นตัวอย่างของความสามัคคีปรองดองกันของชาวจีนทั้งประเทศ

 เรื่องและภาพโดย: ชาติณรงค์ วิสุตกุล

#Standardtour #DiscoverTheColorfulWorld #ServeWithHearthAndSoul #หนี่ห่าวปักกิ่ง #ปักกิ่ง #ทัวร์จีน #บินตรงเชียงใหม่


รายละเอียดเพิ่มคลิก 👇👇

Ofiicial Line @ http://line.me/ti/p/@standardtour

http://www.standardtour.com/outbound.php?id=290#ad-image-0

Facebook : https://www.facebook.com/Standardtourthailand/

☎️ 053-820660


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

SPRING in KOREA เที่ยวเกาหลีฤดูใบไม้ผลิ 5 วัน 3 คืน

เที่ยวเกาหลี กรุงโซล เกาะนามิ สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ ช้อปปิ้งย่านเมียงดง 5 วัน 3 คืน เพียง 29,999 บาท บินตรงเชียงใหม่สายการบิน  KOREAN...