วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

CHILL CHILL NEWYEAR TURKEY 8 DAYS

CHILL CHILL NEWYEAR TURKEY 8 DAYS

    

ตุรีกีเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่เรียกว่าเอเชียไมเนอร์หรือ เอเชียน้อยซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างยุโรปกับเอเีชีย ตุรกีมีพื้นที่กว่า 700,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่กว่า 97% อยู่ในเขตเอเชีย หากแต่ชนชาวตุรกีมีเชื้อสายและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ใกล้เคียงกับชาวยุโรป มากกว่า แม้จะได้รับอิทธิพลจากการปกครองของผู้ปกครองชาวมุสลิมก็ตามและตุรกีพยายามขอ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปหรือ EU มาโดยตลอด จึงอาจกล่าวได้ว่าตุรกีเป็นเป็นประตูสู่ภาคพื้นยุโรปอย่างแท้จริง แหล่งทัวร์ยุโรป ที่ตุรกีที่แรกที่อยากแนะนำคืออิสตันบลูที่เป็นเมืองเอกของประเทศ เคยเป็นเมืองหลวงของ 2 อาณาจักรโบราณคือ อาณาจักรไบเซนไทน์หรือโรมันตะวันออก และจักรวรรดิ์ออตโตมาน โดยชื่อเดิมของอิสตันบลูสมัยไบเซนไทน์คือคอนสแตนติโนเปิ้ล ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการเมืองและการค้ามาแต่โบราณ ทำให้ปัจจุบันอิสตันบลูกลายเป็นเมืองเอกที่อุดมไปด้วยความเจริญทางวัตถุและ วัฒนธรรมของตุรกีที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายเช่น สุเหร่าสีน้ำเงิน หรือมหาวิหารโซเพีย ฯลฯ นอกจากยังมีชายฝั่งที่ติดกับทะเลดำและทะเลเมดิเตอเรเนียนที่แสนสวยงามและมี ชื่อเสียงอีกด้วย


เราจึงขอนำเสนอ ทัวร์ประเทศตุรกี ช่วงปีใหม่นี้ออกเดินทาง วันที่ 30 ธันวาคม 2560 - 6 มกราคม 2561 ราคาเพียงท่านละ 38,999 บาทเท่านั้น

วันแรก         สนามบินสุวรรณภูมิ                                                                                     


21.00 น.                คณะผู้เดินทางพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น4 เคาน์เตอร์ Q แถว 14-20 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทคอยอำนวยความสะดวกเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทางแก่ท่าน





00.50 น.                เหิรฟ้าสู่ นครอิสตันบูล เมืองหลวงออตโตมันของประเทศตุรกี ดินแดนแห่งนี้ร่ำรวยพรั่งพร้อมไปด้วยประวัติศาตร์ สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมากมาย โดย สายการบิน อียิปต์แอร์เที่ยวบินที่ MS961
06.00 น.                เดินทางถึงสนามบิน ณ กรุงไคโร แวะเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยัง นครอิสตันบูล (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยประมาณซึ่งเป็นเวลาต่อเครื่องมาตราฐาน)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
09.35 น.                 เหิรฟ้าสู่ กรุงอิสตันบูล โดยสายการบิน อียิปต์ แอร์ เที่ยวบินที่  MS737                          
13.00 น.                    เดินทางถึง สนามบินนานาชาติ อตาเติร์ก กรุงอิสตันบูล หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
จากนั้นนำท่าน ข้ามช่องแคบคาดาแนลด์โดยเรือเฟอร์รี่ (ใช้เวลาประมาณ 45 นาที) และนำท่านเดินทางสู่ เมืองชานัคคาเล่ (Canakkale) ตั้งอยู่บนทะเลมาร์มาราและทะเลอีเจียน เมืองแห่งนี้จึงเคยเป็นชุมทางการค้า ศูนย์กลางการเดินเรือเชื่อมต่อเอเชียกับยุโรป นำท่านสู่ กรุงทรอย เพื่อชม ม้าไม้จำลองเมืองทรอย ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์อันชาญฉลาดด้านกลศึกของนักรบโบราณ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กรุงทรอยแตก สงครามม้าไม้ เป็นสงครามที่สำคัญตำนานของกรีก และเป็นสงครามระหว่างกองทัพของชาวกรีกและกรุงทรอยหลังจากสู้รบกันเป็นเวลาสิบปี กองทัพกรีกก็ได้คิดแผนการที่จะตีกรุงทรอย โดยการสร้างม้าไม้จำลองขนาดยักษ์ ที่เรียกว่าม้าไม้เมืองทรอย โดยทหารกรีกได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในม้าโทรจัน แล้วก็ทำการเข็นไปไว้หน้ากรุงทรอย เหมือนเป็นของขวัญและสัญลักษณ์ว่าชาวกรีกยอมแพ้สงคราม และได้ถอยทัพออกห่างจากเมืองทรอย ชาวทรอยเมื่อเห็นม้าโทรจัน ก็ต่างยินดีว่ากองทัพกรีกได้ถอยทัพไปแล้ว ก็ทำการเข็นม้าโทรจันเข้ามาในเมือง แล้วทำการเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ เมื่อชาวทรอยนอนหลับกันหมด ทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ ก็ออกมาจากม้าโทรจัน แล้วทำการเปิดประตูเมืองให้กองทัพกรีกเข้ามาในเมือง แล้วก็สามารถยึดเมืองทรอยได้ ก่อนที่จะทำการเผาเมืองทรอยทิ้ง  ซึ่งม้าตัวนี้ เป็นม้าที่ วอร์นอร์ บราเดอร์ส มอบให้เป็นของขวัญแก่เมืองชานัคคาเล หลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Troy จบแล้ว จากนั้นนำท่านเข้าสู่เมือง AYAVALIK ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชั่วโมง
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเข้าสู่ที่พัก AYVALIK HOTEL หรือเทียบเท่า (ชานัคคาเล่)



วันที่สาม      ชานัคคาเล่–เพอร์กามัม-คูซาดาซี–บ้านพระแม่มารี-วิหารเทพีอาร์เทมิส  


เช้า           บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำทุกท่านเดินทางสู่ เมืองเพอร์กามัม (Pergamum) แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกรีกโบราณที่สำคัญแห่ง ตั้งอยู่ในบริเวณอะนาโตเลียห่างจากทะเลอีเจียนประมาณ 30 กม.ทางด้านเหนือของแม่น้ำไคซูส ซึ่งเป็นเมืองโบราณของกรีกที่มีความสำคัญของชาวเฮเลนนิสติก ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ วิหารอะโครโปลิส ซึ่งเป็นที่ขนานนามถึงประหนึ่งดังดินในสรวงสวรรค์ และต่อจากนั้นไปข้างในจะเป็นบริเวณวิหารเทพเจ้าซุส(เซอุส) ปัจจุบันนี้เหลือแต่ส่วนฐานเท่านั้น แท่นบูชาถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เพอร์กามัมที่กรุงเบอร์ลิน
กลางวัน   บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร นำท่านเข้าชม House of  Virgin Mary บ้านพระแม่มารี  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ชม วิหารเทพีอาร์เทมิสโบราณ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ สร้างด้วยหินอ่อนเป็นสถาปัตยกรรมกรีกแบบไอโอนิค และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบวิหารมากกว่า 100 ต้น ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตได้
ค่ำ             บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเข้าสู่ที่พัก GRAND BELISH HOTEL หรือเทียบเท่า (คูซาดาซี)



วันที่สี่           คูซาดาซึ–เมืองโบราณเอฟฟิซุส–เมืองปามุคคาเล่–ปราสาทปุยฝ้าย–เมืองเฮียราโพลิส
                                                          
                                                  
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม  จากนั้นนำทุกท่านเดินทางสู่ เมืองโบราณเอฟฟิซุส เมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีเมืองหนึ่ง เคยเป็นที่อยู่ของชาวโยนก (Ionia) จากกรีก ซึ่งอพยพเข้ามาปักหลักสร้างเมือง ซึ่งรุ่งเรืองขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์กาล ต่อมาถูกรุกรานเข้ายึดครองโดยพวกเปอร์เซียและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ภายหลังเมื่อโรมันเข้าครอบครองก็ได้สถาปนาเอฟฟิซุส ขึ้นเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน นำท่านเดินบนถนนหินอ่อนผ่านใจกลางเมืองเก่าที่สองข้างทางเต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างเมื่อสมัย 2,000 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงละครกลางแจ้งที่สามารถจุผู้ชมได้กว่า 30,000 คน ซึ่งยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน นำท่านชม ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (ROMAN BATH) ที่ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำ ให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้, ห้องสมุดโบราณ ที่มีวิธีการเก็บรักษาหนังสือไว้ได้เป็นอย่างดีทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นศิลปะแบบ เฮเลนนิสติคที่มีความอ่อนหวานและฝีมือประณีต
กลางวัน   บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร หลังจากนั้นนำทุกท่านเดินทางสู่ เมืองปามุคคาเล่ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง (189 กม.) เมืองที่มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลทะลุขึ้นมาจากใต้ดินผ่านซากปรักหักพังของเมืองเก่าแก่สมัยกรีกก่อนที่ไหลลงสู่หน้าผา นำท่านชม ปราสาทปุยฝ้าย ผลจากการไหลของน้ำพุเกลือแร่ร้อนนี้ได้ก่อให้เกิดทัศนียภาพของน้ำตกสีขาวเป็นชั้นๆหลายชั้นและผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาว ซึ่งมีความงดงามมาก ท่านจะได้สัมผัส เมืองเฮียราโพลิส (Hierapolis) เป็นเมืองโรมันโบราณที่สร้างล้อมรอบบริเวณที่เป็นน้ำพุเกลือแร่ร้อน ซึ่งเชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรค เมื่อเวลาผ่านไปภัยธรรมชาติได้ทำให้เมืองนี้เกิดการพังทลายลง เหลือเพียงซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วไป บางส่วนยังพอมองออกว่าเดิมเคยเป็นอะไร เช่น โรงละคร แอมฟิเธียร์เตอร์ขนาดใหญ่ วิหารอพอลโล สุสานโรมันโบราณ เป็นต้น
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
 นำท่านเข้าสู่ที่พัก LYCUS RIVER HOTEL หรือเทียบเท่า (ปามุคคาเล่)
หมายเหตุ    โรงแรมมีบริการสระว่ายน้ำซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ หากท่านใดต้องการแช่น้ำแร่ ให้เตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วย



วันที่ห้า        เมืองปามุคคาเล่–เมืองคอนย่า–พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า–คัปปาโดเกีย–นครใต้ดิน - ระบำหน้าท้อง                                                                                                     

เช้า           บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองคอนย่า (Konya) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจุก ระยะทาง 387  กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะชม Caravansarai ที่พักของกองคาราวานในสมัยโบราณ เป็นสถานที่พักแรมของกองคาราวานตามเส้นทางสายไหมและชาวเติร์กสมัยออตโตมัน
กลางวัน   บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร นำทุกท่านสู่ พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า (Mevlana museum) เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามทำสมาธิ โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟลาน่า เจลาลุคดิน รูมี่ อาจารย์ทางปรัชญาประจำราชสำนักแห่งสุลต่านอาเลดิน เคย์โคบาท ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในประดับฝาผนังแบบมุสลิม และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตร ของเมฟลาน่าด้วย
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ระยะทาง 215 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ  2 ชั่วโมง 30 นาที นำทุกท่านสู่ นครใต้ดิน (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกเป็นมรดกโลก เมืองใต้ดินของตุรกีมีอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งมีอุโมงค์เชื่อมต่อถึงกัน เป็นสถานที่ที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์ใช้หลบภัยชาวโรมัน ที่ต้องการทำลายร้างพวกนับถือศาสนาคริสต์ สำหรับที่เราไปชมวันนี้เป็นเมืองใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ มีถึง 10 ชั้น แต่ละชั้นมีความกว้างและสูงขนาดเท่าเรายืนได้ ทำเป็นห้อง ๆ มีทั้งห้องครัว ห้องหมักไวน์ มีโบสถ์ ห้องโถงสำหรับใช้ประชุม มีบ่อน้ำ และระบบระบายอากาศที่ดี แต่อากาศค่อนข้างบางเบาเพราะอยู่ลึก และทางเดินบางช่วงค่อนข้างแคบจนเดินสวนกันไม่ได้
ค่ำ             บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านชมการแสดงพื้นเมือง “ระบำหน้าท้อง” หรือ  Belly Dance เป็นการเต้นรำที่เก่าแก่อย่างหนึ่ง เกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 6000 ปี ในดินแดนแถบอียิปต์ และเมดิเตอร์เรเนียน นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ชนเผ่ายิปซีเร่ร่อนคือคนกลุ่มสำคัญที่ได้อนุรักษ์ระบำหน้าท้องให้มีมาจนถึง ปัจจุบัน และการเดินทางของชาวยิปซีทำให้ระบำหน้าท้องแพร่หลาย มีการพัฒนาจนกลายเป็นศิลปะที่โดดเด่น สวยงาม จนกลายมาเป็นระบำหน้าท้องตุรกีในปัจจุบัน (บริการเครื่องดื่มฟรีตลอดการแสดง)
นำท่านเข้าสู่ที่พัก BURCU KAYA HOTEL หรือเทียบเท่า (คัปปาโดเกีย)



วันที่หก คัปปาโดเกีย–พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (เมืองเกอเรเม)–หุบเขาอุซิซาร์-เมืองอังการ่า                                                                                                                                                                                             

** สำหรับท่านใดที่สนใจขึ้นบอลลูนชมความงามของเมืองคัปปาโดเจีย จะต้องออกจากโรงแรม 05.30 น. เพื่อชมความงดงามของเมืองคัปปาโดเจียในอีกมุมหนึ่งที่หาชมได้ยาก ใช้เวลาอยู่บอลลูนประมาณ 1 ชั่วโมง **
(ค่าขึ้นบอลลูนไม่ได้รวมอยู่ในค่าทัวร์ประมาณ 210-250 USD)
เช้า           บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำทุกท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่ เมืองเกอเรเม (Goreme) ซึ่งยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์
จากนั้นนำท่านชม หุบเขาอุซิซาร์ (Uchisar Valley) หุบเขาคล้ายจอมปลวกขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งหุบเขาดังกล่าวมีรูพรุน มีรอยเจาะ รอยขุด อันเกิดจากฝีมือมนุษย์ไปเกือบทั่วทั้งภูเขา เพื่อเอาไว้เป็นที่อาศัย และถ้ามองดี ๆ จะรู้ว่าอุซิซาร์ คือ บริเวณที่สูงที่สุดของบริเวณโดยรอบ ดังนั้นในอดีตอุซิซาร์ ก็มีไว้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเอาไว้สอดส่องข้าศึกยามมีภัยอีกด้วย
จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูป พาซาแบค (Pasabag) กลุ่มภูเขาหินลักษณะเป็นรูปกรวยมองดูคล้ายมีหมวกวางอยู่ข้างบนสวยงามแปลกตาไม่มีที่ใดเหมือน จุดเด่นคือ ภูเขา 2 ปล่องไฟ สมญา Hermitage of St.Simon ที่พำนักของบาทหลวงไซมอนเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเดินทางมาจากยูซาเลม เพื่อปลีกวิเวก แสวงหาที่ปฏิบัติธรรม และเป็นที่นิยมของพระองค์อื่นๆต่อมา บางครั้งจึงเรียกกันว่า The Valley of the Monks แวะถ่ายรูป เดอร์เบนท์ (Derbent) หุบเขาหินสีชมพู ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งหินที่นี่เป็นรูปร่างต่างๆ เช่น โลมา เพนกวิน พระแม่มารีและพระสาวก ที่สำคัญและโดดเด่นคือหินรูปอูฐหมอบอยู่มีขนาดใหญ่สีชมพูเหมือนอูฐของจริงเป็นอย่างมาก จึงเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องมาแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จากนั้นนำท่านแวะ ชมโรงงานทอพรม  โรงงานเซรามิค  อิสระกับการเลือกซื้อสินค้า และของที่ระลึก
กลางวัน   บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร เดินทางสู่ เมืองอังการ่า เมืองหลวงของประเทศตุรกี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางให้ท่านได้แวะถ่ายรูปและชมวิวของ ทะเลสาบเกลือ (Salt Lake) จากนั้นนำทุกท่านเดินทางต่อสู่ เมืองอังการ่า หรือที่มีชื่อตามประวัติศาสตร์ว่า Angora เป็นเมืองหลวงของตุรกีในปัจจุบัน และเป็นเมืองใหญ่อันดับ ๒  รองจากนครอิสตันบูล กรุงอังการาตั้งอยู่ในเขต Central Anatolia  ใจกลางประเทศตุรกีบนที่ราบสูงอนาโตเลีย โดยอยู่ห่างจากนครอิสตันบูลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 450 กิโลเมตร กรุงอังการาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ส่วนราชการต่าง ๆ และสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ ในตุรกี ความสำคัญของกรุงอังการา กรุงอังการามีประชากรจำนวน 4,965,542  คน ทำให้กรุงอังการาเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ ๒ ของตุรกี และอันดับ ๒ ในกลุ่มเมืองหลวงยุโรป ในขณะที่นครอิสตันบูลเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมาร์มารานั้น กรุงอังการาก็เป็นศูนย์กลางทางการค้าและเครือข่ายคมนาคมในภูมิภาคอนาโตเลีย โดยเป็นจุดตัดของการคมนาคมทางบก (รถยนต์และรถไฟ) ที่เชื่อมโยงภูมิภาคต่าง ๆ ของตุรกีเข้าด้วยกัน และเป็นศูนย์กลางตลาดสินค้าเกษตรที่ขนส่งมาจากภาคต่างๆ ทั่วตุรกีด้วย 
ค่ำ             บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเข้าสู่ที่พัก BERA HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า (อังการ่า)



วันที่เจ็ด            เมืองแองการ่า–ฮิปโปโดรม-มัสยิดสีน้ำเงิน–สุเหร่าเซนต์โซเฟีย-อิสตันบูล-ไคโร                 
                                                                                                                                                                 

เช้า           บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำทุกท่านเดินทางต่อสู่ กรุงอิสตันบูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. (ระยะทาง 450 กม.)
กลางวัน   บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำทุกท่านสู่ จัตุรัสสุลต่านอะห์เมตหรือ ฮิปโปโดรม สนามแข่งม้าของชาวโรมัน จุดศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวเมืองเก่า สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เซปติมิอุสเซเวรุสเพื่อใช้เป็นที่แสดงกิจกรรมต่างๆของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินฮิปโปโดรมได้รับการขยายให้กว้างขึ้นตรงกลางเป็นที่ตั้งแสดงประติมากรรมต่าง ๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะในยุคกรีกโบราณในสมัยออตโตมันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดงานพิธีแต่ในปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานด้านหน้ามัสยิดสุลต่านอะห์เมตซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิกส์3 ต้น คือเสาที่สร้างในอียิปต์เพื่อถวายแก่ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ถูกนำกลับมาไว้ที่อิสตันบูลเสาต้นที่สอง คือ เสางู และเสาต้นที่สาม คือเสาคอนสแตนตินที่ 7 จากนั้นไม่ไกลนำทุกท่านชม Blue Mosque หรือ Sultan Ahmet Mosqueถือเป็นสุเหร่าที่มีสถาปัตยกรรมเป็นสุดยอดของ 2 จักรวรรดิ คือ ออตโตมันและไบเซนไทน์ เพราะได้รวบรวมเอาองค์ประกอบจากวิหารเซนต์โซเฟียผนวกกับสถาปัตยกรรมแบบอิสลามดั้งเดิม ถือว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี สามารถจุคนได้เรือนแสน ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 7 ปี ระหว่าง ค.ศ.1609-1616 โดยตั้งชื่อตามสุลต่านผู้สร้างซึ่งก็คือ Sultan Ahmed นั้นเอง
จากนั้นนำทุกท่านชม สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia)หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์พระเจ้าจักรพรรดิคอนสแตนติน เป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามจวบจนถึงรัชสมัยของ  พระเจ้าจัสตินเนียนมีอำนาจเหนือตุรกีจึงได้สร้าง โบสถ์เซนต์โซเฟีย ขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆมาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬารต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิมเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัย พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามจึงได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าของชาวอิสลาม
ได้เวลาอันสมควรนำทุกท่านเดินทางสู่สนามบิน
18.15 น.               เหิรฟ้าสู่ กรุงไคโร โดยสายการบินอียิปต์ แอร์ เที่ยวบินที่  MS736
19.25 น.                เดินทางถึง กรุงไคโร นำท่านเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ
23.20 น.               เหิรฟ้าสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสายการบินอียิปต์ แอร์ เที่ยวบินที่ MS 960      


วันที่แปด           สนามบินสุวรรณภูมิ                                                                                                                          


12.40 น.      คณะเดินทางกลับถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร ด้วยความสวัสดิภาพและความประทับใจ


รายละเอียดเพิ่มคลิก 👇👇
http://www.standardtour.com/outbound.php?id=424#ad-image-0
☎️ 053-820660/053818600
Line ID : @standardtour (อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ)
😊 Serve With Heart And Soul 😊
😍 Discover The Colorful World 😍


1 ความคิดเห็น:

SPRING in KOREA เที่ยวเกาหลีฤดูใบไม้ผลิ 5 วัน 3 คืน

เที่ยวเกาหลี กรุงโซล เกาะนามิ สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ ช้อปปิ้งย่านเมียงดง 5 วัน 3 คืน เพียง 29,999 บาท บินตรงเชียงใหม่สายการบิน  KOREAN...