เที่ยวฟินๆที่>>โปรตุเกส ดินแดนประวัติศาสตร์นักเดินเรือ
สเปนเมืองแห่งความฝัน
ประเทศโปรตุเกสอาจเป็นประเทศที่เหมาะแก่คนชื่นชอบการท่องเที่ยวใฝ่ฝันที่จะไปสักครั้งในชีวิต ด้วยสภาพแวดล้อมที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามทั้งทะเลและภูเขา วีถีชีวิตของประชากรที่แตกต่างจากประเทศไทย อาหารการกินที่หลากหลายแปลกตา อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามให้ชื่นชม
🎉🎉อย่าลังเลที่จะมอบกำไรชีวิตให้ตัวคุณเอง🎉 🎉
👇👇 โปรตุเกสมีอะไรน่าเที่ยวไปชมความหลากหลายของประเทศนี้กันกันเลย👇👇
สถานที่แรกที่จะต้องแวะชมความสวยงามเมื่อมาเยือนถึงดินแดนประวัติศาสตร์นักเดินเรือแล้วนั่นก็คือ
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่ต้องแวะแวะถ่ายรูปคือ หอคอยเบเล็ง (Belem Tower) เดิมสร้างไว้กลางน้ำเพื่อเป็นป้อมรักษาการณ์ดูแลการเดินเรือเข้าออก เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเรือออกไปสำรวจ และค้นพบโลกของ วาสโก ดากามา นักเดินเรือชาวโปรตุเกส เป็นสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ที่สวยงาม
มหาวิหารเจอโรนิโม (JERONIMOS MONASTRY) อยู่ในเขตเบเล็ง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ (Manuelline) เช่นเดียวกับ "หอคอยเบเล็ง" ลวดลายสวยงามของซุ้มประตู หน้าต่างและหัวเสา ดัดแปลงมาจากพืชน้ำ เปลือกหอย และ เชือกสมอเรือ ฯลฯ ใช้เวลาสร้างถึง 70 ปีภายในเป็นที่ฝังศของ วาสโกดา กามา นักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ของโลก องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลก
สถานีต่อไปเราจะเดินทางไปยังสถานีสุดขอบโลกยุโรปที่ ✈✈ แหลมโรกา (Capo Da Roca)
แหลมโรกา (Capo Da Roca) เป็นจุดที่เป็นปลายด้านตะวันตกสุดของทวีปยุโรป ซึ่งท่านสามารถซื้อใบประกาศนียบัตร (Certificate) เป็นที่ระลึกในการมาเยือน ณ ที่แห่งนี้
หลังจากรับลมชมวิวดินแดนสุดขอบโลกแล้ว
เราจะมุ่งหน้าไปยัง "เมืองมรดกโลกสุดโรแมนติก
💖💖 ณ ซินทรา 💖💖
ซินทรา(Sintra) เป็นอีกหนึ่งเมืองตากอากาศยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สวยงามที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก ความร่มรื่นของเขตอุทยานเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดของชาวเมือง เป็นอีกเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างมีความโดดเด่นของแคว้นแกรนด์ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
พักผ่อนหย่อนในในเมืองสุดโรแมนติกเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ GO GO GO!!!
เมืองต่อไปเป็นเมื่องสำหรับคนที่ชื่นชอบศาสนาและเมืองแห่งนี้ยังคงความสวยงามของสถาปัตยกรรมเช่นเคยนั่นก็คือ "เมืองฟาติมา (Fatima)"
เมืองฟาติมา (Fatima) เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญของคริสต์ศาสนิกชน นำท่านเข้าชมโบสถ์แม่พระฟาติมา (The Lady of Fatima Basilica) ซึ่งเป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก ก่อสร้างในปี 1928 – 1953 ชมรูปปั้นพระแม่มารี ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งในหลายเส้นทางของคริสต์ศาสนิกชนในการแสวงบุญ ที่มีความเชื่อว่าพระแม่มารีได้เคยปรากฏตัวให้เด็กน้อย 3 คนได้เห็นเป็นครั้งแรกที่แอบหลบภัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้บอกกับเด็กทั้งสามคนถึงเหตุผลที่พระองค์ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ลูเซีย ได้บันทึกไว้ถึงคำทำนายและคำสอนของพระแม่มารี ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆที่ลูเซียได้บันทึกไว้ก็ล้วนเป็นความจริงที่ปรากฏขึ้นมาภายหลัง
เมืองอีกหนึ่งเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือแม่น้ำมอนเดโก (Mondego) ซึ่งสมัยถูกปกครองโดยอาณาจักรโรมันได้รับการเรียกขานว่า เอมีเนียม คือ "เมืองโกอิมบรา (Coimbra)"
เมืองโกอิมบรา (Coimbra) ได้ถูกยึดครองโดยชาวแขกมัวร์ ในปี ค.ศ.711 และเป็นเมืองที่เชื่อมการค้าระหว่างชาวคริสต์ทางเหนือและชาวมุสลิมทางใต้ จนในปี ค.ศ.1064 กษัตริย์เฟอร์ดินัลที่ 1 แห่งลีออน ได้รบชนะแขกมัวร์และปลดปล่อยเมืองโกอิมบรา นำชมมหาวิทยาลัยโกอิมบรา(Coimbra University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อตั้งในปี ค.ศ.1290 แต่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวังหลวง (Coimbra Royal Palace) โดยกษัตริย์ คิงส์จอห์นที่ 3 ในปี ค.ศ.1537 ซึ่งยังคงศิลปะสไตล์บาร็อคที่สวยงาม
ทางเหนือของประเทศโปรตุเกส เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงถึง “ไวน์ปอร์โต้” ซึ่งเป็นแหล่งไวน์ชั้นดีของคนที่มีรสนิยมในการดื่มไวน์ เป็นที่ตั้งของเมืองเมืองปอร์โต้ (Porto) และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองและตั้งอยู่ริมแม่น้ำโดรู
และเมืองนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ ในปี ค.ศ.1996 อีกด้วย นำท่านชมเมืองมรดกโลกปอร์โต้ ชมย่านจัตุรัสกลางเมือง Praça dos Liberdade ประกอบด้วยอาคารสวยงามที่เป็นที่ทำการของธนาคารและโรงแรม และศาลาว่าการเมือง ชมสถานีรถไฟ São Bento ซึ่งภายในมีการตกแต่งด้วยกระเบื้องเขียนสีที่มีลวดลายสีน้ำเงิน ที่เล่าเรื่องราวของชาวโปรตุเกส แวะถ่ายรูปกับโบสถ์ Sé de Porto ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง อายุกว่าพันปี โบสถ์แห่งนี้เป็นที่จัดงานอภิเษกสมรสของกษัตริย์ João ที่ 1 บิดาของเจ้าชายเฮนรี่ ผู้บุกเบิกการเดินเรืออันยิ่งใหญ่ของโปรตุเกส สร้างอยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมือง
ขึ้นเหนือลงใต้โปรตุเกสฟินๆได้รูป100ใบ1000ใบไปแล้ว ไปกดชัตเตอร์กันต่อเลยที่ "สเปน"
เมืองซาลามังกา (Salamanca) เป็นเมืองที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการค้าขายในสมัยโรมัน ปัจจุบันเมืองนี้ได้รับขึ้นเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ ในปี ค.ศ. 1988 นำท่านสู่พลาซ่า มายอร์ (La Plaza Mayor) ศูนย์กลางของเมืองที่สร้างโดยศิลปะสไตล์บาร็อค ที่เป็นเอกลักษณ์ของความร่ำรวยในยุคศตวรรษที่ 16 -18
เมืองเซอโกเบีย (Segovia) เมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งของสเปน องค์การ UNESCO ยังได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองนี้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1985 รางส่งน้ำโรมัน (Acueducto de Segovia) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 โดยไม่มีการใช้กาวหรือวัสดุเชื่อมหินแต่ละก้อนแต่อย่างใด จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งก่อสร้างทางวิศวกรรมโดยชาวโรมันที่สำคัญที่สุดของสเปน และยังมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย รางส่งน้ำประกอบขึ้นจากหินแกรนิตกว่า 25,000 ก้อน มีความยาว 818 เมตร มีโค้ง 170 โค้ง จุดที่สูงที่สุดสูงถึง 29 เมตร จุดเริ่มต้นของรางส่งน้ำนี้ เริ่มตั้งแต่นอกเมือง แล้วลำเลียงส่งน้ำเข้ามาในเมือง รางส่งน้ำแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซอโกเบีย และเป็นไฮไลท์หลักของเมือง
และอีกเมืองใฝ่ฝันของหลายๆคนที่ชื่นชอบฟุตบอลคงขาดไปไม่ได้กับเมือง Madrid
กรุงมาดริด (Madrid) เมืองหลวงของประเทศสเปน เป็นมหานครอันทันสมัยล้ำยุค ที่ซึ่งกษัตริย์ฟิลลิปที่ 2 ได้ทรงย้ายที่ประทับจากเมืองโทเลโดมาที่นี่ และประกาศให้มาดริดเป็นเมืองหลวงใหม่ เมืองมาดริดได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และสูงสุดแห่งหนึ่งในยุโรป
พระราชวังหลวง (Royal Palace) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำแมนซานาเรส สวยงามโอ่อ่าอลังการไม่แพ้พระราชวังใดในทวีปยุโรป พระราชวังหลวงแห่งนี้ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1738 ด้วยหินทั้งหลังในสไตล์บาโรค โดยการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบฝรั่งเศสและอิตาเลียน ประกอบด้วยห้องต่างๆกว่า 2,830 ห้อง ซึ่งนอกจากจะมีการตกแต่งอย่างงดงามแล้ว ยังเป็นคลังเก็บภาพเขียนชิ้นสำคัญที่วาดโดยศิลปินในยุคนั้น รวมทั้งสิ่งของมีค่าต่างๆอาทิ พัดโบราณ, นาฬิกา, หนังสือ, เครื่องใช้, อาวุธ
เดินทางเหนื่อยมาทั้งวันพักผ่อน รับประทานอาหารเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจะพาท่านไปชมการแสดงที่แสดงถึงเอกลักษณ์สำคัญต่างๆ ของประเทศสเปนไว้
โบสถ์ซากราดา แฟมิเลีย (La Sagrada Familia) โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ของเมือง โดยฝีมือการออกแบบของ อันตอนี เกาดี สถาปนิกชาวคาตาลัน เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม เป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็นอาร์ตนูโวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1882 แม้กระทั้งจนถึงปัจจุบันก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จโดยมหาวิหารมีลักษณะสถาปัตยกรรมโดดเด่นแปลกตาไม่เหมือนที่ใดในโลก
พระราชวังหลวง (Royal Palace) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำแมนซานาเรส สวยงามโอ่อ่าอลังการไม่แพ้พระราชวังใดในทวีปยุโรป พระราชวังหลวงแห่งนี้ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1738 ด้วยหินทั้งหลังในสไตล์บาโรค โดยการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบฝรั่งเศสและอิตาเลียน ประกอบด้วยห้องต่างๆกว่า 2,830 ห้อง ซึ่งนอกจากจะมีการตกแต่งอย่างงดงามแล้ว ยังเป็นคลังเก็บภาพเขียนชิ้นสำคัญที่วาดโดยศิลปินในยุคนั้น รวมทั้งสิ่งของมีค่าต่างๆอาทิ พัดโบราณ, นาฬิกา, หนังสือ, เครื่องใช้, อาวุธ
ชมความสวยงามของพระราชวังหลวง ซึมซับประวัติศาสตร์สเปนกันไปแล้ว
เราก็จะเดินทางต่อไปยัง เมืองโทเลโด (Toledo)
เมืองโทเลโด (Toledo)เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศสเปน องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองนี้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย มีทัศนีภาพที่สวยงาม เนื่องจากมีแม่น้ำเทกัสไหลผ่าน แล้วเราจะเข้าชม
มหาวิหารแห่งโทเลโด (Toledo Cathedral) เนื่องจากเป็นวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสเปน รองจากวิหารเมืองเซบีญ่า ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ความงดงามอลังการสไตล์โกธิก ภายในมหาวิหารมีการตกแต่งอย่างงดงามวิจิตรด้วยไม้แกะสลักและภาพสลักหินอ่อน
เมื่อชมความงามรอบใจกลางเมืองกันไปแล้ว
เราจะมุ่งหน้ากลับเข้าสู่กรุงมาดริดเพื่อไปยัง🚗🚗
ประตูพระอาทิตย์ หรือ พลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor of Madrid) ใกล้เขตปูเอต้าเดลซอล ซึ่งเป็นจตุรัสใจกลางเมือง นับเป็นจุดนับกิโลเมตรแรกของสเปน (กิโลเมตรที่ศูนย์) และยังเป็นศูนย์กลางรถไฟใต้ดินและรถเมล์ทุกสาย นอกจากนี้ยังเป็นจุดตัดของถนนสายสำคัญของเมืองที่หนาแน่นด้วยร้านค้าและห้างสรรพสินค้าใหญ่มากมาย และใกล้ๆกันก็มีรูปปั้นหมีเกาะต้นเชอรี่ (The bear and the cherry tree in Madrid) อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งของกรุงมาดริดเดินทางเหนื่อยมาทั้งวันพักผ่อน รับประทานอาหารเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจะพาท่านไปชมการแสดงที่แสดงถึงเอกลักษณ์สำคัญต่างๆ ของประเทศสเปนไว้
ระบำฟลามิงโก ศิลปะระบำสเปน หนึ่งในการแสดงที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลกทั้งท่วงท่าการร่ายรำประกอบเสียงดนตรีที่เร้าใจสนุกสนาน
ได้ชมแสงสีเสียงอย่างเพลิดเพลินไปแล้ว หวังว่าทุกคนจะชอบการแสดงนี้
สำหรับวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน กลับเข้าที่พักพรุ่งนี้ลุยต่อนะคะ!!!
MORNING MORNING!!!!
ถึงเวลาโบยบินของเราอีกครั้ง เช้าวันใหม่ที่สเปน
ทานอาหารเช้าเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปยังที่นี่ค่ะ
เมืองวาเลนเซีย (Valencia) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสเปน ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำตูเรีย (Turia River) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศสเปน และยังเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงคือ สโมสรฟุตบอลวาเลนเซีย ชมย่านใจกลางจัตุรัสเมืองเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลาง, ที่ทำการไปรษณีย์, ร้านค้า, สนามสู้วัวกระทิง
วันนี้เที่ยวเมืองเดียว ครบ จบ ทุกอย่าง
เช้านี้ลัดเลาะเลียบชายฝั่งทะเล กอสตา เดล อะซาร์ (Costadel Azahar)
หรือ ชายฝั่งดอกส้มบาน ตั้งชื่อตามสวนส้มที่ปลูกทั่วที่ราบชายฝั่งและส่งกลิ่นหอม หวานในฤดูใบไม้ผลิ ผ่านเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนเข้าสู่เมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona) นครใหญ่แห่งคาตาลันยา
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของการเดินทาง เราจะกลับเข้าสู่ตัวเมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona)
และขึ้นสู่จุดชมวิวของเมืองที่เนินเขา Montjuïc เป็นเนินเขาในบาร์เซโลน่าที่มีทัศนียภาพอันงดงาม ทางด้านตะวันออกของเนินเขายังมีหน้าผาสูงชันซึ่งทำหน้าที่เป็นดั่งกำแพงเมือง ส่วนด้านบนเป็นที่ตั้งของป้อมปราการหลายแห่ง
และที่ขาดไม่ได้เลยคุณได้มาเยือนเมืองนี้ ถ้าคุณไม่ไปถือว่าพลาดมว๊ากกกกก!!
สนามฟุตบอลของสโมสรบาร์เซโลน่า สนามคัมป์นู (Camp Nou) ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยมีความจุผู้เข้าชมได้ถึงเกือบ 99,000 คน มีเวลาให้ท่านได้ถ่ายรูปคู่กับสนามฟุตบอล พร้อมทั้งเลือกซื้อของที่ MEGA STORE ของทีมบาร์เซโลน่า
สำหรับที่สุดท้ายนี้คงเป็นสถานที่ที่หลายๆคนตั้งตารอคอย
ตากแดด ตากลม ทัวร์กับเราจนในที่สุด คุณก็ได้มา 🎉🎉🎉
หากคุณต้องการเที่ยวจุใจแบบนี้นึกถึงเรานะคะ
เราจะพาคุณไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆที่คนอื่นไม่สามารถมอบให้คุณได้
💚💚แต่เราทำได้ 💚💚
standardtour
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น